ทำไมเครื่องดูดควันแบบไม่เจาะผนังถึงน่าสนใจสำหรับคอนโด? – ในคอนโดหรือห้องเช่าที่ไม่สามารถเจาะผนังหรือเดินท่อออกนอกอาคารได้ เครื่องดูดควันแบบไม่เจาะผนัง (ductless / recirculating hood) เป็นทางออกที่สะดวกและนิยม เพราะติดตั้งง่าย ไม่ยุ่งยากด้านงานช่าง ลดค่าใช้จ่ายการติดตั้ง และยังช่วยลดกลิ่นและควันที่เกิดจากการปรุงอาหารได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะกับการทำอาหารประจำบ้านทั่วไปที่ไม่ได้ทอดหนักเป็นประจำ
หลักการทำงานแบบชัด ๆ (ไม่ยากอย่างที่คิด)
เครื่องดูดควันแบบไม่เจาะผนังทำงานเป็นวงปิด (recirculating) โดยมี 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
- ดูดอากาศ + ควันขึ้นมา ผ่านพัดลมภายในฮูด
- ไล่ไขมันและสิ่งสกปรก ผ่านแผ่นกรองไขมัน (mesh หรือ baffle filter) เก็บไขมันไม่ให้ฟุ้งไปทั่วห้อง
- กรองกลิ่น ด้วยแผ่นกรองคาร์บอน (activated carbon) ที่จะดูดซับกลิ่น แล้วเป่าลมที่กรองแล้วกลับเข้าห้อง
เพราะฉะนั้น เครื่องดูดควันประเภทนี้ ไม่ได้ดึงอากาศออกนอกรั้วอาคาร แต่เป็นการกรองแล้วหมุนเวียนภายในห้องแทน ข้อดีคือไม่ต้องเดินท่อ ข้อจำกัดคือประสิทธิภาพการกำจัดไอและความร้อนจะสู้เครื่องดูดควันแบบมีท่อ (ducted) ไม่ได้ 100%
เมื่อไหร่ควรเลือกเครื่องดูดควันแบบไม่เจาะผนัง (use
- อยู่คอนโดหรือห้องเช่าที่ห้ามเจาะผนัง/เพดาน
- ครัวขนาดเล็กหรือครัวที่ทำอาหารไม่หนัก (ผัด นึ่ง ต้ม มากกว่าทอดลึก/ทอดซ้ำ)
- ต้องการติดตั้งเร็ว ไม่อยากเสียเวลาเดินท่อหรือเจาะผ่านผนัง
- ต้องการตัวเลือกที่มีงบจำกัดแต่ยังอยากลดกลิ่นและควันในระยะสั้น-ปานกลาง

ข้อดี – ข้อเสีย แบบตรงไปตรงมา
ข้อดี
- ติดตั้งง่าย มีแบบตั้ง / ติดผนัง / ใต้ตู้แขวน ใช้เวลาติดตั้งไม่กี่ชั่วโมง
- ไม่ต้องเดินท่อหรือแจ้งนิติ / ขออนุญาต (เหมาะคอนโด)
- ราคาติดตั้งและค่าแรงต่ำกว่าเครื่องดูดควันแบบ ducted มาก
- ฟิลเตอร์ถอดล้าง / เปลี่ยนได้ ทำความสะอาดเองได้
ข้อจำกัด
- ประสิทธิภาพในการ “กำจัดความร้อน” และ “ไอควันหนาแน่น” ต่ำกว่าเครื่องดูดควันที่ต่อท่อออกนอกอาคาร
- ต้อง เปลี่ยนกรองคาร์บอนเป็นประจำ (ค่าใช้จ่ายต่อการบำรุงรักษาสูงขึ้นถ้าทำอาหารหนักบ่อย)
- เหมาะกับควัน/กลิ่นปานกลาง หากทอดมากๆ อาจไม่พอ ต้องระบายอากาศเสริม (เปิดหน้าต่าง/พัดลม)

“สเปค” คือ สำคัญที่ต้องรู้ก่อนซื้อ (และตัวเลขที่ควรมอง)
ตัวเลขนี้เป็นเกณฑ์แนะนำเพื่อช่วยเลือกให้เหมาะกับขนาดและพฤติกรรมการทำอาหาร
1) อัตราการไหลอากาศ (Airflow) — หน่วย m³/h (และค่าเทียบเป็น CFM)
- สำหรับครัวเล็ก/คอนโด: แนะนำ 150–400 m³/h
- 150 m³/h ≈ 88 CFM (เหมาะกับครัวทำอาหารเบา)
- 200–300 m³/h ≈ 118–177 CFM (เหมาะกับครัวทั่วไป)
- 400 m³/h ≈ 235 CFM (สำหรับทำอาหารค่อนข้างหนัก)
(ตัวเลข: 1 m³/h ≈ 0.5886 CFM ตัวเลขเปรียบเทียบช่วยให้เข้าใจค่าที่ผู้ขายมักใช้)
ถ้าทำอาหารวันละไม่มาก เลือก 150–250 m³/h ก็พอ แต่ถ้าทอดบ่อย ให้มอง 300–400 m³/h ขึ้นไป
2) ระดับเสียง (Noise)
- ค่าระดับเสียงมักอยู่ระหว่าง 40–70 dB(A)
- คอนโดแนะนำเลือกรุ่นที่ระบุ < 55 dB(A) ในโหมดปกติ (low speed) เพราะถ้าเสียงดังจะรบกวนพื้นที่เล็ก ๆ
3) ระดับแรงดันสุญญากาศ
- สำหรับเครื่องดูดควันแบบไม่เจาะ ตัวเลข airflow (m³/h) สำคัญกว่า pressure rating เพราะไม่มีท่อให้ต้องเอาชนะแรงดัน
4) ฟิลเตอร์ที่ให้มา
- กรองไขมัน (Grease Filter)
- Aluminium mesh (ตะแกรงอลูมิเนียม): ต้นทุนต่ำ ถอดล้างง่าย ดีสำหรับงานเบา/ปานกลาง
- Baffle filter (บาเฟิล): ฟันธงว่าเก็บไขมันได้ดีกว่า เหมาะร้านอาหาร/ทอดบ่อย แต่ราคาและน้ำหนักสูงกว่า

- กรองกลิ่น (Activated Carbon)
- กรองที่ “จับกลิ่น” ได้ ในฮูดแบบไม่เจาะเป็นสิ่งจำเป็น
- มีแบบเปลี่ยนได้และแบบรีชาร์จ (บางยี่ห้อให้ ล้าง/อบ เพื่อฟื้นฟูความสามารถ แต่ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อใช้บ่อย)

- แผ่นกรองรวม (Combined filters)
- บางรุ่นมีชุดกรองสองชั้น grease mesh + carbon pad สะดวกแต่ต้องเปลี่ยนทั้งชุดเมื่อเสื่อม

5) โหมดความเร็วหลายระดับ & ไฟส่องเตา
- ควรมีอย่างน้อย 2–3 เกียร์ (low/medium/high) เพื่อเลือกใช้ตามชนิดการปรุงอาหาร
- ไฟ LED สว่างและประหยัดพลังงานช่วยให้ปรุงอาหารสะดวกขึ้น
วิธีการติดตั้ง
หมายเหตุ: วิธีติดตั้งขึ้นกับรูปแบบเครื่องดูดควัน (ติดผนัง, ใต้ตู้, หรือแบบตั้งโต๊ะ) นี่เป็นขั้นตอนคร่าวที่เจ้าของบ้าน/ช่างเล็ก ๆ ทำได้
- เตรียมตำแหน่ง: วัดระยะจากเตาถึงเครื่องดูดควัน ระยะแนะนำทั่วไป 60–75 ซม. จากหัวเตาถึงส่วนดูด สำหรับเตาแก๊สบ้านทั่วไป (โปรดเช็กคู่มือรุ่นนั้น ๆ)
- ยึดตัวเครื่องดูดควันกับผนัง/ตู้: เจาะรูยึด (แต่ถ้าคอนโดห้ามเจาะผนัง เลือกแบบแขวนใต้ตู้หรือใช้ขา/ขาตั้งที่ไม่ต้องเจาะ)
- เสียบปลั๊ก: ตรวจดูการเดินสายไฟ วางสายให้เรียบร้อยและปลอดภัย
- ใส่ฟิลเตอร์: ติด grease filter และ carbon filter ตามคู่มือ
- ทดสอบ: เปิดที่ความเร็วต่ำ ฟังเสียง ตรวจดูแรงดูด และตรวจว่าลมออกด้านหน้า/ด้านข้างเป็นปกติ
ข้อสังเกต: ถ้าหากไม่สามารถเจาะผนังเลย อาจเลือกเครื่องดูดควันแบบตั้งโต๊ะหรือฮูดใต้ตู้ที่ยึดด้วยสกรูกับตู้ชั้นแทน (หรือใช้ขา/แผ่นรองที่ออกแบบเฉพาะ)
การบำรุงรักษา
- กรองไขมัน (mesh/baffle): ล้างทุก 2–4 สัปดาห์ (มากกว่านั้นถ้าทอดบ่อย) แช่น้ำอุ่น+น้ำยาล้างจาน แล้วขัดหรือใช้ผงเบกกิ้งโซดาขจัดคราบ
- แผ่นกรองคาร์บอน: เปลี่ยนทุก 3–6 เดือน (ขึ้นกับปริมาณการใช้) ถ้าใช้หนักให้เปลี่ยนเร็วขึ้น
- พัดลมภายใน: เช็ก/ทำความสะอาดทุก 6 เดือน เอาใบพัดออกเช็ดฝุ่น (อ่านคู่มือก่อนถอด)
- ตัวเครื่อง/ผิวสแตนเลส: เช็ดผิวด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นและน้ำยาล้างจานอ่อน ๆ เพื่อไม่ให้เกิดคราบหรือผุกร่อน
- ตรวจรอยรั่ว/เสียงผิดปกติ: หากพัดลมมีเสียงดังผิดปกติ อาจต้องจับตะเกียบหรือหลวม ควรส่งช่างตรวจ
วิธีใช้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด (Tips & Tricks)
- เปิดก่อนเริ่มทำอาหาร 1–2 นาที เพื่อให้ฮูดสร้างแรงดูดและดักควันทันที (ช่วยได้มากกว่าการเปิดเมื่อเริ่มมีควันแล้ว)
- ใช้ความเร็วต่ำ-กลางขณะผัด/ต้มทั่วไป และสลับเป็นความเร็วสูงเมื่อทอดหรือทำอาหารมีกลิ่นรุนแรง
- เปิดหน้าต่าง/พัดลมช่วย เพื่อสร้างทางระบายอากาศเพิ่มเติม เครื่องดูดควันแบบไม่เจาะทำงานได้ดีกว่าเมื่อห้องมีการระบายอากาศร่วมด้วย
- ลดแหล่งควันตั้งแต่ต้นทาง เช่น ใช้น้ำมันที่มีจุดควันสูงเมื่อทอด ลดอุณหภูมิการทอดเล็กน้อย หรือใช้หม้อ/กระทะมีฝาปิดเพื่อลดการฟุ้งของควัน
- อย่าลืมเปลี่ยน carbon filter ตามรอบ filter เสื่อมประสิทธิภาพ = กลิ่นยังคงอยู่
ตารางเปรียบเทียบ: ฮูดดูดควันแบบไม่เจาะผนัง vs ฮูดดูดควันแบบมีท่อ
| หัวข้อเปรียบเทียบ | เครื่องดูดควันแบบไม่เจาะผนัง (Ductless / Recirculating Hood) | เครื่องดูดควันแบบมีท่อ (Ducted / Vented Hood) |
|---|---|---|
| ระบบการทำงาน | ดูดควันและกลิ่นผ่านแผ่นกรอง (Grease + Carbon Filter) แล้วปล่อยอากาศกลับเข้าห้อง | ดูดควันออกผ่านท่อส่งลมไปภายนอกอาคาร |
| ประสิทธิภาพกำจัดกลิ่น/ควัน | ★★★☆☆ (ดี แต่ไม่หมดจด โดยเฉพาะควันหนัก) | ★★★★★ (ดีที่สุด เหมาะกับการทำอาหารจัดๆ) |
| การลดความร้อนในห้องครัว | ★★☆☆☆ (อากาศร้อนหมุนเวียนกลับเข้าห้อง) | ★★★★★ (ระบายความร้อนออกนอกพื้นที่ได้ดีมาก) |
| ความยืดหยุ่นในการติดตั้ง | ★★★★★ (ติดตั้งง่าย ไม่ต้องเจาะผนังหรือเดินท่อ) | ★★☆☆☆ (ต้องวางแผนตำแหน่งท่อและทางออกอากาศ) |
| พื้นที่เหมาะสม | คอนโด / ห้องเช่า / ครัวขนาดเล็ก | บ้านเดี่ยว / ร้านอาหาร / ครัวขนาดใหญ่ |
| ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น | ต่ำกว่า ไม่ต้องเดินท่อหรือเจาะผนัง | สูงกว่า ต้องติดตั้งระบบท่อและปล่องระบาย |
| ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา | อาจสูงกว่าในระยะยาว (ต้องเปลี่ยนแผ่นกรองคาร์บอนทุก 3–6 เดือน หากใช้งานหนัก) | ต่ำกว่า (แค่ทำความสะอาดแผ่นกรองไขมันเป็นระยะ) |
| เสียงรบกวน | เงียบกว่าปานกลาง เนื่องจากมอเตอร์ขนาดเล็ก | อาจดังขึ้นเล็กน้อย เพราะแรงดูดและระบบท่อ |
| ความสวยงามและดีไซน์ | ทันสมัยกะทัดรัด เหมาะกับครัวโมเดิร์น | มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งแบบ Built-in และ Chimney |
| เหมาะสำหรับใคร | ผู้เช่าคอนโด หรือครัวที่ไม่สามารถเจาะผนังได้ | บ้านที่มีพื้นที่เพียงพอ ต้องการพลังดูดสูงสุด |
งบประมาณ & คำแนะนำเรื่องราคา (ค่าใช้จ่ายโดยรวม)
- ราคาเครื่องรุ่นประหยัด (basic ductless): ปกติเริ่มจากหลักพันต้น ๆ ถึงกลาง (ประมาณ 1,500–4,000 บาท สำหรับรุ่นเล็ก/มาตรฐาน)
- รุ่นคุณภาพสูงขึ้น: 4,000–10,000+ บาท จะได้มอเตอร์ที่ทนทานกว่า, แผงกรองดีขึ้น, และเสียงที่เงียบกว่า
- ค่าบำรุงรักษา: แผ่นกรองคาร์บอนเปลี่ยนบ่อย ๆ อาจมีค่าใช้จ่ายปีละหลายร้อยถึงพันบาท ขึ้นกับรุ่นและความถี่การทำอาหาร
(หมายเหตุ: ราคาเป็นเกณฑ์กว้าง – ขึ้นกับยี่ห้อ รุ่น และตลาด ณ เวลาซื้อ)
เช็คลิสต์ก่อนซื้อ (Quick Buying Checklist)
- ขนาดพื้นที่ครัว/ตำแหน่งติดตั้ง ตรวจวัดพื้นที่แน่นอน
- Airflow (m³/h) เลือกตามพฤติกรรมการทำอาหาร (150–400 m³/h)
- ระดับเสียง (dB) เลือก <55 dB ถ้าอยู่ห้องเล็ก/คอนโด
- ฟิลเตอร์: mesh หรือ baffle + carbon (เปลี่ยน/หาซื้อได้สะดวกหรือไม่)
- โหมดความเร็วและไฟส่องเตา ควรมีอย่างน้อย 2–3 ระดับ + ไฟ LED
- การติดตั้ง: ต้องเจาะผนังหรือไม่? ถ้าห้าม ให้มองรุ่นติดใต้ตู้/ตั้งโต๊ะ
- การรับประกันและบริการหลังการขาย สำคัญมากเมื่อใช้ในที่อยู่อาศัยแบบเช่า/คอนโด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: ถ้าทอดบ่อย ๆ ฮูดแบบไม่เจาะพอไหม?
A: ถ้า “ทอดหนัก” บ่อย ๆ (เช่นร้านหรือบ้านที่ทอดทุกมื้อ) ควรเลือก ducted หรือเสริมการระบายอากาศ (เปิดหน้าต่างในขณะทอด) เพราะฮูดแบบไม่เจาะจะต้องเปลี่ยนกรองคาร์บอนบ่อยและอาจไม่ได้กำจัดความร้อน/ควันได้ทั้งหมด
Q: แผ่นกรองคาร์บอนรีชาร์จได้ไหม?
A: บางยี่ห้อแนะนำให้เปลี่ยน แต่มีวิธี “ฟื้นฟูเบื้องต้น” เช่น ตากแดด/อบเบา ๆ แต่ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเทียบกับกรองใหม่ แนะนำเปลี่ยนตามรอบที่ผู้ผลิตกำหนด
Q: เสียงเครื่องดังมากจะมีผลอะไรไหม?
A: เสียงดังรำคาญและส่งผลต่อความสะดวกสบาย ในห้องเล็กเสียง > 60 dB จะรู้สึกดัง ควรเลือกรุ่นที่ระบุ dB ต่ำและอ่านรีวิวเรื่องเสียงก่อนซื้อ
สรุปง่าย
เครื่องดูดควันแบบไม่เจาะผนัง คือคำตอบของคนเมืองยุคใหม่ที่อยากทำอาหารในพื้นที่จำกัด โดยไม่ต้องปวดหัวกับการเดินท่อหรือเจาะผนังให้ยุ่งยาก
มันอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ “แรงที่สุด” แต่เป็นตัวเลือกที่ “สมเหตุสมผลที่สุด” สำหรับชีวิตจริงในคอนโดหรือครัวขนาดเล็ก
สิ่งสำคัญคือการ เลือกให้เหมาะกับพฤติกรรมการทำอาหารของคุณเอง
- ถ้าทำอาหารเบา ๆ อย่างต้ม อุ่น นึ่ง – แนะนำรุ่นแรงดูด 150–250 m³/h ก็เพียงพอ
- ถ้าชอบผัด ทอด หรือทำอาหารไทยกลิ่นแรง – ควรเลือก แรงดูด 300–400 m³/h และเปิดหน้าต่างช่วยระบายควบคู่ไปด้วย
อย่าลืมว่า ประสิทธิภาพของฮูดไม่ได้อยู่ที่แรงดูดเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การดูแลรักษาด้วย
การล้างแผ่นกรองไขมันอย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนแผ่นกรองคาร์บอนตามรอบ คือหัวใจที่ทำให้เครื่องยังคงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนใหม่
สุดท้าย หากคุณต้องการพลังดูดควันระดับ “ครัวร้านอาหาร” แบบมีท่อ (ducted) ยังคงเหนือกว่าแน่นอน
แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในคอนโดหรือพื้นที่จำกัด ฮูดแบบไม่เจาะผนังคือทางสายกลางที่ชาญฉลาดที่สุด
มันอาจไม่สมบูรณ์แบบทุกด้าน แต่ให้สมดุลระหว่าง “ความสะดวก การใช้งาน และงบประมาณ” ได้อย่างลงตัว























