ทุกวันนี้ “ห้องครัว” ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่สำหรับทำอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในจุดที่ใช้พลังงานมากที่สุดภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเตาแก๊ส เตาอบ เครื่องดูดควัน หม้อหุงข้าว หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก ๆ ที่เราใช้อยู่ทุกวัน ล้วนมีส่วนทำให้บิลค่าน้ำ ค่าแก๊ส และค่าไฟเพิ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยที่หลายคนอาจไม่รู้ตัว
การประหยัดพลังงานในครัว ไม่จำเป็นต้องลำบากหรือเสียรสชาติของอาหารเลย แค่ปรับพฤติกรรมเล็กน้อย และเลือกใช้อุปกรณ์ให้ถูกวิธี ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายได้หลายร้อยบาทต่อเดือน แถมยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย วันนี้เรามี “เคล็ดลับลดค่าใช้จ่ายในครัว” ที่ ใช้งานได้จริง และเหมาะกับทุกบ้าน ไม่ว่าจะใช้เตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า มาฝากกันค่ะ
1) เทคนิคการทำอาหาร (ลดเวลา — ลดพลังงาน)
ใช้ฝาปิดทุกครั้งเมื่อเคี่ยว/ต้ม
การปิดฝาช่วยกักความร้อนภายในหม้อ ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นและคงที่ ส่งผลให้อาหารสุกเร็วขึ้นและลดการสูญเสียความชื้นจากการระเหย ซึ่งช่วยประหยัดแก๊สหรือไฟฟ้าและควรเลือกใช้เตาแก๊สที่ได้มาตราฐาน เปลวไฟสม่ำเสมอ ก็ช่วยลดค่าแก๊สได้อีกแรง
- ใช้ฝาที่มีขนาดพอดีกับหม้อ เพื่อป้องกันความร้อนรั่วไหล
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฝาปิดสนิท โดยเฉพาะเมื่อต้มน้ำหรือเคี่ยวอาหาร
- หากใช้ฝาแก้ว ควรเลือกแบบที่มองเห็นด้านในได้เพื่อลดการเปิดฝ้าบ่อยๆ
ตัวอย่าง: เมื่อต้มซุปไก่ ถ้าใช้หม้อแบบเปิดต้องใช้เวลา 40 นาทีและแก๊สมากขึ้นเพราะความร้อนสูญเสีย แต่ถ้าปิดฝา อาจใช้เวลาเพียง 30 นาที ประหยัดแก๊สได้ถึง 25% และน้ำไม่ระเหยจนต้องเติมบ่อย

ใช้หม้อแรงดัน (pressure cooker)
หม้อแรงดันเพิ่มความดันและอุณหภูมิภายใน ทำให้อาหารสุกเร็วขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะเมนูที่ต้องใช้เวลานาน เช่น การตุ๋นหรือเคี่ยว ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 50-70%
- เลือกหม้อแรงดันที่มีขนาดเหมาะสมกับปริมาณอาหาร
- ปฏิบัติตามคู่มือเพื่อควบคุมความดันและเวลาที่เหมาะสม
- ใช้สำหรับเมนูที่ต้องเคี่ยวนาน เช่น แกงเนื้อ สตูว์ หรือข้าวเหนียว
ตัวอย่าง: การตุ๋นเนื้อวัวในหม้อธรรมดาอาจใช้เวลา 2 ชั่วโมงและกินแก๊ส 1.5 กิโลกรัม แต่หม้อแรงดันใช้เวลาเพียง 30 นาทีและแก๊สเพียง 0.4 กิโลกรัม ประหยัดเวลาและพลังงานได้มากกว่า 70%

ปรุงครั้งละมาก (batch cooking)
การปรุงอาหารหลายจานในครั้งเดียวช่วยลดจำนวนครั้งที่ต้องใช้เตาหรือเตาอบ ซึ่งเป็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดเวลา
- วางแผนเมนูที่ใช้ส่วนผสมหรือวิธีปรุงคล้ายกัน เช่น อบผักและเนื้อในเตาอบพร้อมกัน หรือการลวก ก็สามารถใช้เตาแก๊สครั้งเดียวร่วมกันได้เลย
- แบ่งอาหารที่ปรุงไว้เป็นส่วนๆ เก็บในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็ง
- อุ่นอาหารในปริมาณที่ต้องการด้วยไมโครเวฟหรือเตาอบขนาดเล็ก
ตัวอย่าง: หากคุณอบไก่ ทำลาซานญ่า และอบมันฝรั่งในเตาอบรอบเดียว ใช้พลังงานประมาณ 2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง แต่ถ้าทำแยก 3 รอบ อาจใช้ถึง 5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง การทำครั้งเดียวช่วยประหยัดไฟได้ถึง 60%

ใช้เครื่องเล็กเมื่อเป็นไปได้
เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น หม้อทอดไร้น้ำมันหรือไมโครเวฟ ใช้พลังงานน้อยกว่าเตาอบขนาดใหญ่หรือเตาแก๊สเมื่อปรุงอาหารปริมาณน้อย
- เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าตามปริมาณอาหาร เช่น ใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหารจานเดียว
- ใช้กาต้มน้ำไฟฟ้าเมื่อต้มน้ำปริมาณน้อย แทนการใช้หม้อบนเตาแก๊ส
- ใช้หม้อทอดไร้น้ำมันสำหรับย่างหรืออบอาหารเล็กๆ น้อยๆ
ตัวอย่าง: การอุ่นข้าว 1 จานในไมโครเวฟใช้ไฟ 0.02 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (ประมาณ 2 นาที) แต่การใช้เตาอบขนาดใหญ่ใช้ไฟถึง 0.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง การเลือกไมโครเวฟช่วยประหยัดไฟได้ถึง 25 เท่า

หั่นวัตถุดิบให้ชิ้นเล็กและสม่ำเสมอ
วัตถุดิบชิ้นเล็กและสม่ำเสมอสุกเร็วและทั่วถึง ลดเวลาการใช้เตาหรือเตาอบ ซึ่งช่วยประหยัดพลังงาน
- หั่นผักหรือเนื้อให้มีขนาดเท่าๆ กัน เพื่อให้สุกพร้อมกัน
- ใช้เครื่องมือ เช่น มีดคมหรือเครื่องสไลซ์ เพื่อให้ได้ชิ้นที่สม่ำเสมอ
- สำหรับเมนูทอดหรือผัด ชิ้นเล็กจะช่วยให้ใช้น้ำมันและความร้อนน้อยลง
ตัวอย่าง: การผัดผักโขมกับหมูสับ ถ้าตัดหมูเป็นชิ้นเล็ก 0.5 ซม. จะใช้เวลา 5 นาที แต่ถ้าเป็นชิ้นใหญ่ 1 ซม. อาจใช้เวลา 8 นาที การหั่นเล็กช่วยลดเวลาและการใช้แก๊สลง 37%

ละลายน้ำแข็งให้เรียบร้อยก่อนปรุง
การปรุงอาหารที่ยังมีน้ำแข็งเกาะอยู่ต้องใช้ความร้อนและเวลามากขึ้น การละลายล่วงหน้าในตู้เย็นช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการปรุงและป้องกันการใช้ไมโครเวฟบ่อยๆ
- ย้ายอาหารจากช่องแช่แข็งไปช่องเย็น 8-12 ชั่วโมงก่อนปรุง
- วางแผนมื้ออาหารล่วงหน้าเพื่อให้มีเวลาละลายน้ำแข็ง
- หากต้องละลายเร็ว ใช้น้ำเย็นแช่ในถุงซิปล็อกแทนการใช้ไมโครเวฟ
ตัวอย่าง: การย่างปลาแช่แข็งโดยตรงในเตาอบใช้เวลา 25 นาทีและไฟ 0.8 กิโลวัตต์-ชั่วโมง แต่ถ้าละลายในตู้เย็นก่อน ใช้เวลาเพียง 15 นาทีและไฟ 0.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ประหยัดไฟได้ 37% ทั้งนี้การละลายอาหารก่อนนำมาปรุง ยังช่วยประหยัดค่าไฟจากเตาไฟฟ้าและค่าแก๊ส จากเตาแก๊สได้อีกด้วย

2) การใช้เตา & เตาอบให้ประหยัด
- จับคู่ขนาดหม้อกับหัวเตา — อย่าวางหม้อเล็กบนหัวเตาใหญ่ เพราะพลังงานสูญเสียไปรอบ ๆ หม้อ
- ปรับเปลวไฟ/กำลังให้เหมาะสม — เปลวไฟควรไม่ล้นเน้นฐานหม้อ (สำหรับแก๊ส ให้เปลวไฟเป็นสีฟ้า แสดงการเผาไหม้สมบูรณ์)
- ทำความสะอาดหัวเตาและช่องระบายความร้อนเป็นประจำ — คราบไขมันลดประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อน
- ใช้ความร้อนคงเหลือ (residual heat) — ปิดเตาหรือเตาอบก่อนจบเวลา 1–5 นาทีเพื่อใช้ความร้อนที่เหลือ ทำอาหารให้สุกต่อโดยไม่ใช้พลังงานเพิ่ม
- ใช้โหมดพัดลม (convection) ในเตาอบเมื่อมี — จะทำให้อบเร็วและสุกสม่ำเสมอ (ประหยัดเวลา/พลังงาน)
- ลดการเปิด-ปิดประตูเตาอบโดยไม่จำเป็น — ทุกครั้งที่เปิด จะทำให้ความร้อนหลุดและต้องใช้พลังงานเพิ่ม

3) ตู้เย็น — ตัวคูณค่าไฟวันต่อวัน
- ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสม — ตู้เย็นทั่วไปตั้งที่ ~3–4°C, ช่องแช่แข็ง ~-18°C — อย่าเย็นเกินจำเป็น
- อย่าใส่อาหารร้อนลงตู้ทันที — ร้อนจะเพิ่มภาระคอมเพรสเซอร์
- จัดของเป็นระเบียบ ลดการเปิด-ปิดบ่อย — หาของเร็วขึ้น ลดเวลาที่ประตูเปิด
- เช็ดซีลยางประตูและตรวจรอยรั่ว — ซีลไม่เรียบทำให้ความเย็นหลุดบ่อย
- ทำความสะอาดคอยล์ (condenser coil) ด้านหลัง/ล่างให้สะอาด — ช่วยให้คอมทำงานน้อยลง
- อย่าตั้งช่องแช่เย็นหรือแช่แข็งแรงเกินจำเป็น — อุปกรณ์บางรุ่นมีโหมดประหยัด (eco) ให้ใช้

4) เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ — ใช้น้อยแต่ได้มาก
- เครื่องล้างจาน — รันเมื่อเต็มถาด, ใช้โหมด Eco, และปิดฟังก์ชันอบแห้ง (ปล่อยให้แห้งเอง)
- กาต้มน้ำไฟฟ้า — ต้มน้ำเท่าที่ต้องใช้, หมั่นล้างตะกรันเพื่อลดเวลาเดือด
- หม้อทอดไร้น้ำมัน / เตาปิ้งขนมปัง / เตาอบเล็ก — สำหรับเมนูเล็กๆ ประหยัดกว่าเตาอบใหญ่
- ไฟส่องสว่าง — เปลี่ยนเป็น LED, ปิดเมื่อไม่ใช้งาน

5) อุปกรณ์ & การเลือกซื้อ — ลงทุนที่คุ้มค่า
- ลงทุนอุปกรณ์มีประสิทธิภาพ (inverter, energy-efficient) โดยเฉพาะตู้เย็นและเครื่องทำน้ำอุ่น — ค่าไฟลดลงในระยะยาว
- พิจารณาเปลี่ยนเป็นเตาแม่เหล็กไฟฟ้า (induction) — มีประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนสูงกว่าไฟฟ้าหรือเตาแก๊สในหลายกรณี (แต่ต้องมีภาชนะรองรับ)
- ซื้อภาชนะที่ดี — หม้อก้นแบน กระจายความร้อนดี มีฝาแน่น จะช่วยประหยัดพลังงาน
- เช็กฉลากพลังงานก่อนซื้อ — ดูวัตต์/หน่วยพลังงานและการจัดอันดับประหยัดพลังงาน

6) บำรุงรักษาเป็นประจำ — ประหยัดได้จากการดูแล
- ตรวจสอบหัวเตาแก๊ส, หัวจ่าย, ท่อและจุดต่อว่ารั่วหรือไม่
- ทำความสะอาดเตา, ถาดอบ และตู้เย็นสม่ำเสมอ
- เปลี่ยนซีลประตูเมื่อเสื่อมสภาพ
 การบำรุงลดการสูญเสียพลังงานและยืดอายุเครื่องใช้ ทำให้ไม่ต้องซื้อใหม่บ่อย ๆ
7) วิธีวัด-คำนวณค่าใช้จ่าย (ทำเองได้)
ไฟฟ้า (kWh)
- สูตร: พลังงาน (kWh) = กำลัง (kW) × เวลา (ชั่วโมง)
- ค่าใช้จ่าย = พลังงาน (kWh) × ราคาไฟ (บาท/ kWh)
ตัวอย่าง (วิธีคำนวณทีละขั้นตอน):
สมมติ: เตาอบกำลัง 2.0 kW ใช้งาน 1.5 ชั่วโมง ราคาไฟสมมติ 5.00 บาท/kWh (ตัวอย่างเท่านั้น)
- คำนวณพลังงานที่ใช้:- 2.0 kW × 1.5 ชั่วโมง = 3.0 kWh.
- (คำนวณ: 2.0×1.0 = 2.0 ; 2.0×0.5 = 1.0 ; รวม = 2.0+1.0 = 3.0)
 
- คำนวณค่าใช้จ่าย:- 3.0 kWh × 5.00 บาท/kWh = 15.00 บาท.
- (คำนวณ: 3.0×5 = 15.0)
 
เทคนิคปฏิบัติ: ถ้าคุณลดเวลาอบลง 30% จาก 1.5 ชม → เหลือ 1.05 ชม (1.5×0.7 = 1.05) => พลังงานลดตามสัดส่วน ค่าไฟลดตามสัดส่วนด้วย
แก๊ส (LPG หรือแก๊สบ้าน)
- วิธีปฏิบัติ: ชั่งถังก่อน-หลังเติม หรือจดหน่วยจากบิล เพื่อหาค่าใช้จ่ายต่อเดือน/ต่อการปรุงอาหารหนึ่งมื้อ
- ถ้าอยากประมาณเป็นพลังงาน: หาค่า “กำลัง” ของหัวเตาหรือเตา (บอกเป็น kW หรือ BTU) แล้วใช้สูตรเดียวกับไฟฟ้า (แปลงหน่วยให้เท่ากัน) หรือใช้ราคาต่อกิโลกรัมของแก๊สคูณปริมาณที่ใช้
10) เช็คลิสต์ฉับไว — ทำวันนี้ก็ลดได้
- ใช้ฝาปิดเวลาเคี่ยว/ต้ม ✅
- ปรุงครั้งละมากแล้วเก็บแช่ ✅
- จัดตู้เย็นเป็นระบบ / ไม่ใส่อาหารร้อน ✅
- ใช้เครื่องเล็กแทนเตาอบใหญ่เมื่อเป็นไปได้ ✅
- ทำความสะอาดคอยล์และซีลประตูตู้เย็น ✅
- เปลี่ยนเป็นหลอด LED ✅
สรุปการประหยัดแก๊สและค่าไฟ
การลดค่าใช้จ่ายในครัวไม่ได้หมายถึงต้องทำอาหารจืดหรือแพ้ความสะดวก — แต่เป็นการปรับวิธีทำอาหาร เลือกอุปกรณ์ และดูแลรักษาเครื่องใช้ให้มีประสิทธิภาพ เทคนิคง่ายๆ เช่น ใช้ฝาปิด หม้อแรงดัน batch cooking และทำความสะอาดคอยล์ตู้เย็น จะให้ผลประหยัดชัดเจนเมื่อทำเป็นนิสัย
 
								 
															 
															























 
															 
								 
								